เดลินิวส์ 30/4/2542 สังฆราชชี้ขาด ธัมมชโย ปาราชิกต้องสึกใน 3 วันหรือลงมติ ธรรมกายวุ่นหนัก เรียกประชุมด่วน






สมเด็จพระสังฆราชฯ ให้จับ "ธัมมชโย"สึก ฐานปาราชิกขาดจากความเป็นสงฆ์ เอาสมบัติวัดเป็นของตัว ต้องถูกจัดการเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระแต่ปลอมเป็นพระ ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียแก่สงฆ์ในศาสนาพุทธ ตรัสชัดพระต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจ เงินทอง สมณศักดิ์ ยอมสละชีวิตรักษาธรรมะได้ งานนี้อยู่ที่กรมการศาสนา มี 2 ทางเลือก จับสึกทันทีใน 3 วัน หรือโยนเรื่องเข้ามหาเถรฯ ระบุเกือบ 40 ปี มหาเถรฯ ไม่เคยขัดแย้งประมุขสงฆ์ ชาวบ้านโทรศัพท์แสดงความยินดี ระบุถ้ากรมศาสนายึกยักจะไปบุกถล่ม จะดูใจมีพระเถระ หน้าไหน มากล้าอุ้มอีก ข่าวสะพัด "ธัมมชโย"รุดเข้าเฝ้า 


สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริยายก ฯ ทรงมีพระบัญชา ให้จัดการปัญหาวัดพระธรรมกายขั้นเด็ดขาด โดยมีพระลิขิต ให้กรมการศาสนา จับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) สึกเพราะปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น.ของวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีพระบัญชาให้กรมการศาสนามารับ พระลิขิตเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย โดยลิขิตนี้เป็นเรื่องสืบเนื่องจาก ที่เคยพระประทานไว้ในเรื่องการ ถือครองที่ดินของพระไชยบูลย์ที่มีนับพันไร่ และมีพระบัญชาให้โอนให้วัด ปรากฎว่าพระไชยบูลย ์และวัดพระธรรมกายแสดงท่าทีชัดเจนไม่ยอมโอนที่ดินให้วัด สมเด็จพระสังฆราชจึงทรงถือว่า เป็นการแสดงชัดเจน มีเจตนาเอาสมบัติของวัด เป็นของตนจริง ๆ ต้องอาบัติปาราชิกต้องพ้นจากการเป็นพระ และ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด 

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าว"เดลินิวส์" ได้เดินทางไปวัดบวรนิเวศ และได้พบพระมหาสะท้าน พระวิปัสสี ซึ่งเป็นพระในสำนักงานเลขาฯ และได้เดินทางออกมาก่อน ที่สมเด็จพระสังฆราช จะออกจากวัดบวร และถามผู้สื่อข่าวว่า "จะมารับเอกสารพระบัญชาหรือ" 

สำหรับรายละเอียด ของพระลิขิต ที่เกี่ยวข้องกับการให้จับพระไชยบูลย์สึก ก็คือ"ส่วนที่มิใช่การลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5เมษายน พ.ศ.2542) ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่า ในขั้นต้น อาจมิใช่เจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในขณะ เป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดเจนว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำเอาผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้แก่เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา" และได้มีการลงพระนามสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. 26 เมษายน พ.ศ. 2542 

ขณะเดียวกัน นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าไม่กล้าออกความเห็นเพราะยังไม่เห็นอะไร แต่ไม่น่าจะเป็นไปได ้เพราะสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ก้าวก่าย งานของมหาเถรสมาคมฯ เพราะท่านเป็นประธาน มหาเถรฯอยู่แล้ว เมื่อมหาเถรฯมีมติให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นผู้ดำเนินการ ท่านคงจะไม่มีพระบัญชาอะไรอีก และเรื่องนี้ อาจจะมาจากห้องกระจก ที่เคยกล่าวถึงพระลิขิตมาแล้ว 

นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่าตนไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เห็นพระลิขิต แต่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ขณะที่นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบด ีกรมการศาสนากล่าวว่า ถ้ามีพระบัญชา หลักการสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะต้องมีหนังสือ มาถึงอธิบดีกรมการศาสนา อย่างเป็นทางการ แต่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะไม่เห็นหนังสือเช่นกัน 

อย่างไรก็ตามพระวิปัสสี เจ้าหน้าที่ประจำสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชกล่าวพระลิขิตดังกล่าวเพิ่งมาถึงอาตมา และได้ตรวจสอบแล้วว่า เป็นพระลิขิตจริง เพื่อให้สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ประสานงาน ไปยังกรมการศาสนา ดำเนินการเผยแพร่ให้ประาชทรบซงจ้าน้าที่ก็ได้นำพระลิขิตนี้ไปยังกรมการศาสนา แล้ว แต่ไม่ทราบว่า จะถึงมือ อธิบดีกรมการศาสนาหรือยัง อย่างไรก็ตาม พระลิขิตนี้ไม่ได้หมายถึง วัดพระธรรมกายเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงวัดอื่นด้วย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชนั้น ครั้งแรกพระสังฆราชทรงประทานให้นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อสะสางปัญหาธรรมกายโดยแยกเป็น 2 ประเด็นคือ 1.การบิดเบือนพระศาสนา ซึ่งทรงมีพระลิขิตว่าความบิดเบือนพระพุทธธรรม คำทรงสอนโดยกล่าวหาว่า พระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนัตตริยธรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก" และ2.เรื่องที่ดินที่มีพระลิขิตว่า "ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบ สมบัติทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที" 

ปรากฎว่า พระลิขิตนี้กรมการศาสนา ไม่ยอมเสนอเข้าที่ประชุม เพราะมีพระเถระระดับสูงบางรูปไม่ให้เปิดเผย และไม่ให้นำเข้า ที่ประชุมมหาเถรฯ จนในที่สุด"เดลินิวส์" เปิดเผยพระลิขิตดังกล่าว และมีการนำพระลิขิต เข้าที่ประชุมมหาเถรฯ ในวันที่ 5 เม.ย. โดยสมเด็จพระสังฆราชให้จัดทำพระลิขิตขึ้นมาใหม่ ใช้กระดาษ ที่มีพระนามาภิไธยย่อ และที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติให้มอบให้พระพรหมโมลีไป 

นอกจากนั้นนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี สั่งการให้นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ จัดการเรื่องที่ดิน ซึ่งมีการส่ง นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนาไปพบพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย โดยพระเผด็จกล่าวว่าจะยังไม่มีการโอนที่ดินเพราะวัดไม่มีเงิน รวมถึงผู้บริจาคบางราย อาจไม่ยอม เพราะต้องการบริจาคให้พระไชยบูลย์ ที่ดินบางแปลงก็ใช้ประโยชน์ได้ บางแปลงก็ไม่ได้ ซึ่งจะมีการตั้งกรรมการของวัด พิจารณาว่า แปลงใดจะโอน แปลงใดจะไม่โอน สุดท้ายเมื่อวันที่ 26 เม.ย.มหาเถรฯประชุม และจะออกมติมหาเถรฯ บังคับให้พระต้องโอนที่ดินให้วัด ซึ่งรอการรับรองมติอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า ในวันนั้นเองสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงทำพระลิขิตอีกฉบับ เพื่อยุติปัญหาธรรมกายที่ยืดเยื้อยาวนาน รวมถึง สร้างความเสื่อมให้กับพระศาสนา 

พระพิศาลธรรมพาที (พยอม กัลยาโน) ประธานมูลนิธิสวนแก้ว กล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราชเคยสั่งให้พระยันตระ สึกมาแล้ว ทำไมจะสั่งพระไชยบูลย์สึกอีกไม่ได้ และอยากดูว่าศิษย์วัดธรรมกาย จะคลั่งหรือไม่ นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญ กรมการศาสนา ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่าพระลิขิตยังไม่ใช่พระบัญชา เป็นเพียงความคิดเห็น ของพระสังฆราช ในฐานะ ที่เป็นประธานมหาเถรสมาคม ซึ่งถ้าเป็นพระบัญชา จะต้องมีตราสัญลักษณ์ และมีการออกหมายเลขหนังสือ อย่างไรก็ตามขั้นตอนยังไม่สิ้นสุด การปฏิบัติตามความเห็นของพระสังฆราช เป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมการศาสนา ในฐานะเลขานุการ นำความเห็นดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม โดยสิ้นสุด ด้วยการออกเป็นคำสั่งหรือเป็นมติของมหาเถรฯ 

แต่ที่ผ่านมา ยังไม่เคย มีเหตุการณ์ที่มติของมหาเถรสมาคมจะออกมา ไม่เหมือนกับพระลิขิต หรือพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 เป็นต้นมาไม่เคยพบเห็นเลย ส่วนระยะเวลานานเท่าใด ในการสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องดูด้วยว่า การมีความเห็นให้สึกนั้น ด้วยข้อกล่าวหาอะไร ซึ่งหากให้สึกด้วยข้อหาปาราชิก ถ้าเป็นพระบัญชา ต้องให้สึกภายใน 3 วัน โดยเจ้าหน้าที่ บ้านเมืองต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมาย" 

นายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และนักวิชาการประจำกรรมาธิการการศาสนาฯ เปิดเผยว่า ตนเห็นพระลิขิตแล้ว ดูจากลายลักษณ์อักษรการลงพระนามแล้ว เป็นของสมเด็จพระสังฆราชจริง ถือเป็นพระวินิจฉัย ของสมเด็จพระสังฆราช ในนามประธานมหาเถรสมาคม ซึ่งการดำเนินงานโดยทางที่ถูกต้องแล้วมี 2 ทาง ไม่ใช่แนวทางเดียว โดยกรมการศาสนาจะสนองพระบัญชาเลยก็ได้หรือว่านำเข้าที่ประชุมมหาเถรฯเพื่อลงมติ เพราะถือว่า สมเด็จฯ เป็นพระประมุขสูงสุด แต่เพื่อความรอบคอบก็ควรเสนอที่ประชุมมหาเถรฯ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมมหาเถรฯจะขัดแย้งพระวินิจฉัยหรือไม่ นายจรวยกล่าวว่าการประชุมมหาเถรฯ ครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความเห็นขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามคิดว่าทางออก คือพระไชยบูลย์จะต้องรีบโอนที่ดินให้วัดทันที เพื่อไม่ต้องสึก ถ้าไม่ยอมโอนก็ตีความได้ว่าจะเบียดบังยักยอก เอาของศาสนา หรือเรียกว่าโกง เพราะที่ดินที่ได้มานั้น เพราะคนทำบุญให้ศาสนา ตนเชื่อว่าพระไชยบูลย์น่าจะยอมโอน และไม่ยอมสึกง่าย ๆ 

พระศรีปริยัติโมลี กล่าวว่าวันนี้ได้นำพระธรรมทูต พร้อมครูบาอาจารย์ กรรมการโครงการ ธรรมทูตเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชฯ 70 คน เมื่อเวลา 14.30 น. ซึ่งพระสังฆราชทรงตรัสเป็นนัย ๆ ว่าให้คิดถึงประเด็นธรรมกายว่า พวกเราเหล่าพระสงฆ์ต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ยึดติดกับอำนาจลาภ ยศ เงินทอง สมณะศักดิ์ ต้องยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อให้ธรรมะเป็นใหญ่ แม้กระทั่งชีวิตก็ยอมเสียสละได้เพื่อธรรมะ 

สำหรับกรณีพระลิขิตนี้ แสดงออกชัดว่าครั้งแรกท่านออกพระลิขิตมาแล้ว แต่ไม่ยอมทำตามต้องออกมาอีกฉบับ เป็นนัยให้เห็นว่า ท่านอึดอัดพระทัย ไม่สบายใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกรรมการมหาเถรฯ และกรมการศาสนา ไม่จัดการเด็ดขาด และไม่คลี่คลายความสงสัยให้ประชาชน เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ควรเร่งให้จัดการให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นประชาชนสับสนแตกแยก พระสงฆ์แตกแยกเป็น 2 ฝ่าย บานปลายหนัก จริง ๆ แล้วกรรมการมหาเถรฯ น่าแสดงอะไรชัดเจน โดยพูดเอง จัดการเอง อย่างชัดเชน เช่นพระพรหมโมลี น่าจะมีการติดตามบังคับดูแลวัด แต่กลับ ไม่มีการดำเนินการเลยไม่มีผลอะไร ลอย ๆ ทั้งเรื่องการฝ่าฝืนพระธรรมคำสอน เรื่องที่ดินร้ายแรงทั้งนั้น ตั้งแต่ เจ้าคณะผู้ปกครอง เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดมองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก จริง ๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ให้คาราคาซังอย่างนี้" 

รายงานข่าวจากมหาเถรฯ สมาคม เปิดเผยว่าในการประชุมหาเถรฯ ครั้งที่ผ่านมาสมเด็จพระสังฆราชฯไม่พอพระทัย เกี่ยวกับการยืดเยื้อ ในการแก้ปัญหาธรรมกาย โดยเฉพาะเรื่องที่ดิน ที่มีการดึงเรื่องและพยายาม จะให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวพันกับวัดอื่นด้วย เพื่อให้เกิดปัญหา และหลังการประชุม สมเด็จพระสังฆราชฯ จึงทรงทำ พระลิขิตต่อท้ายพระลิขิตเดิม 

"เดลินิวส์"ยังได้รับโทรศัพท์ จากชาวพุทธจำนวนมาก ที่แสดงความยินดีที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระลิขิตแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด และกล่าวว่าหากกรมการศาสนา ไม่เร่งจัดการจะไปถล่มที่กรม และอยากรู้ว่ จะมีพระมหาเถระรูปใดจะอุ้มต่อไป 

ในวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานของกระทรวงศึกษาธิการทำรายงานเสนอแล้วว่า คำสอนของวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะในหนังสือพระแท้ ที่ใช้ในการตอบปัญหาธรรมะ ในงานวันเกิดพระไชยบูลย์ ขัดกับหลักศาสนาอย่างชัดเจน และจะเสนอให้พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาคที่ 1 เพื่อให้พิจารณาให้เป็นไปตาม พระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ที่วัดพระธรรมกายมีการบิดเบือน ผิดเพี้ยน ไปจากพระไตรปิฎก ทำให้สงฆ์หลงเชื่อ เกิดความแตกแยก เป็นการทำลายพระศาสนา 

สำหรับคำสอน ผิดเพี้ยนมี 4 ประเด็นหลัก คือ1.การสอนเรื่องธรรมกายตั้งแต่หน้า 64 หน้า 68 และ 69 โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ แล้วมีการอ้างว่าหายไปจนมีการค้นพบใหม่ ซึ่งปรากฎว่าเป็นการสอนผิดเพี้ยน จากพระไตรปิฎก ที่ในพุทธเถรวาท ไม่ถือธรรมกายเป็นเรื่องสำคัญ และมีการกล่าวถึงธรรมกายครั้งแรก และครั้งเดียว ในพระสูตรอย่างเป็นหลักการเท่านั้น โดยเป็นคำเรียกแทนพระนาม พระพุทธเจ้าในฐานะที่ทรง เป็นแหล่งรวม และเป็นที่ไหลออกมาแห่งธรรม ไม่ใช่ในฐานะวิชชาทางพุทธ 

2.เรื่องปฐมมรรค ในหน้า 69-70 ที่วัดพระธรรมกายบัญญัติศัพท์ขึ้นมาเอง และอธิบายให้สับสน โดยอ้างว่า เป็นดวงใสอยู่กลางกาย และจะเป็นทางเข้าสู่การบรรลุธรรม ขั้นพระอรหันต์ 3.เรื่องอายตนนิพพานในหน้า 70 ที่ว่าเป็นที่อยู่ ของพระนิพพาน เป็นสถานที่ โดยจะดูดธรรมกายเข้าไปสู่ในนั้น โดยเมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ถูกอายตนนิพพาน ดูดเข้าไป ซึ่งโดยแท้ที่จริงคำว่าอายตนนิพพานไม่มีในภาษาบาลีอยู่เลย และมีแต่คำว่าอายตน ที่อธิบายภาวะดับทุกข์ ที่เรียกว่า"นิพพาน" และในการแปลความหมายคำว่า "อายตน"ก็ไม่ให้แปลความหมายว่า เป็นแดนทางรูปธรรม คือเป็นสถานที่ ไม่มีในพระพุทธศาสนา และคณะทำงานยังเสนอความเห็น ด้วยว่าถ้าเห็นแก่พระธรรมวินัย ไม่ประสงค์จะทำให้กระทบกระทเือนต่หลักของพระพุทธศาสนา และเป็นความตรงไปตรงมา ก็น่าจะบอกว่าคำนี้ คิดค้นขึ้นมาเอง จากพระอาจารย์ที่สอนวิชชาธรรมกาย และถ้าจะให้ถูกต้องแท้จริง เมื่อเป็นพระก็ต้องสอน ให้ตรงตามพระธรรมวินัย เรื่องที่ 4 เรื่องบาปย่อมชำระล้างได้ด้วยบุญ ในหน้า 208-210 ว่าบุญหมายถึงความผ่องแผ้ว ความบริสุทธิ์ ความดีงาม ธรรมชาติเครื่องล้างกาย วาจา ใจ ให้ปราศจากมลทิน เหมือน้ำใสสะอดา ยอ่มีอานุภาพ ล้างสิ่งที่แปดเปื้อน เมื่อผู้ได้ก่อกรรมทำบาป หากสำนึกผิดก็จะต้องรีบล้างบาป โดยการหยุดทำบาป และสร้างบุญแทน เมื่อสั่งสมบุญมากขึ้น ๆ วิบากแห่งกรรมชั่วย่อมตามมาไม่ทัน 

การพูดเช่นนี้คณะทำงาน ของกระทรวงศึกษาธิการเห็นว่า จะไปเหมือนกับศาสนาอื่นที่ล้างบาปได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ทำบาป ไม่เกรงกลัวความชั่ว ไม่มีในศาสนาพุทธ 

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดปทุมธานี รายงานบรรยายกาศ จากวัดพระธรรมกายว่า ทางวัดพระธรรมกาย ได้มีการประชุมเตรียม จัดงานฉลองธรรมกายเจดีย์ ซึ่งขณะที่ประชุมกันอยู่นั้นได้มีพระลูกวัด เข้ามารายงาน ที่ประชุมให้ทราบว่า ทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ได้นำเสนอข่าวพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช โดยได้ทรงแสดงความเห็น ถึงความผิด ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องปาราชิก ซึ่งคณะกรรมการ ในที่ประชุม ได้มีการแสดงความคิดเห็นตรงกันว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆ์ราช ก็คือพระลิขิต ไม่มีอำนาจชี้ขาด และยังต้องมีขั้นตอน ต่างๆอีกมาก ดังนั้นวัดพระธรรมกาย ยังต้องคงอยู่ต่อไปอีกนาน ที่สำคัญวัดธรรมกาย ยังมีเจ้าคณะตำบล อำเภอ และกรรมการในเถรสมาคม อย่างไรเสียก็ต้องออก เป็นมติ จากมหาเถรสมาคมออกมาก่อน 

ขณะเดียวกัน ประดา ศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกาย เมื่อได้ทราบข่าว ของเจ้าอาวาสที่ตนเองศรัทธา ต่างโทรศัพท ์เข้ามาสอบถาม ไม่ขาดระยะ โดยเฉพาะนักข่าวจากสำนักต่างๆ ได้เดินทาง ไปรอทำข่าว อยู่บริเวณหน้าวัดพระธรรมกาย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในบริเวณวัด คงปักหลักรอทำข่าว ทามกลางสายฝน อยู่บริเวณ หน้าวัดพระธรรมกาย



0 ความคิดเห็น:

กรุณาล็อกอินก่อนใช้งาน