เดลินิวส์ 10/2/2543 หลักฐานมัดไชยบูลย์เอาเงินวัดไปซื้อที่ดิน

กองปราบเบิกความชั้นศาล แสดงหลักฐาน "ไชยบูลย์"เอาเงินวัดไปซื้อ พร้อมกับให้ศิษย์เอกถือครองด้วย ขนาดเดินทางไปดูที่ดินด้วยตัวเอง ระบุพฤติกรรมออกจากวัดตอนกลางคืน ไม่ยอมทำตามที่พูด แถมยังพัวพันกับสีกาอีก 2 คนที่อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานดำเนินคดี ขณะที่การจัดการตามสงฆ์ทำท่ายื้อไปไม่ถึงไหน



เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา พระปริยัติวโรปการ รักษาการเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง เปิดเผย ว่าได้เข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และได้หารือถึงการที่มหาเถรสมาคม(มส.)มีมติให้ดำเนินการตามกฏนิคหกรรมกับนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าสำนักธรรมกายกับพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส งาสจะให้ดำเนินการทำอย่างไรต่อไป เพราะแม้จะเรียกตัวมารับฟังข้อกล่าวหา ก็ไม่มาอีกแน่เ อีกทั้งพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ขอสงวนสิทธิ์ไม่ยอมดำเนินการใด ๆ

"เจ้าคณะใหญ่ฯบอกว่าให้คอยไปก่อนกำลังหาวิธีการ สถานการณ์ในขณะนี้ยังดำเนินการอะไรไม่ได้ นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนาได้เดินทางมาพบ เพื่อสอบอาตมาก็บอกไปตรงๆว่า ยังไม่ได้ทำอะไร เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีพร้อมที่จะทำงาน รอให้สั่งการมาเท่านั้น"

วันเดียวกันที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.30 น.วันที่ 9 ก.พ.ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์ทำการสืบพยานโจทก์คดี ที่พนักงานอัยการกองคดีอาญา 5 เป็นโจท์กฟ้อง นายไชยบูลย์ ,นายถาวร พรหมถาวร สาวกคนสนิท เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และยักยอกทรัพย์จำนวน 36,677,000 บาท กว้านซื้อที่ดินย่าน จ.พิจิตรและจ.เพชรบรูณ์ แล้วใส่ชื่อนายไชยบูลย์ เป็นเจ้าของ โดยจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

พยานโจทก์ที่เบิกความคือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.2ป. ได้ตอบคำถามของนายชุติชัย สาขากร อัยการโจท์กสรุปว่า มีที่ดินจำนวน 7,400 ไร่เศษ ใน 15 จังหวัดที่จำเลยที่1 อ้างว่า ญาติโยมบริจาคให้นั้น จากการตรวจสอบพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งมีสัญญาซื้อขาย เปลี่ยนจากหนังสือ นส.3.เป็นโฉนดที่ดินเช่น จ.พิจิตร 158 ไร่เศษ ,จ.เพชรบูรณ์ 900 ไร่เศษ,จ.เลย 1,000 ไร่เศษเป็นต้น โดยมีนายหน้ามาติดต่อนายไชยบูย์ถึงวัด หรือบางครั้งก็เดินทางไปพบเจ้าของที่ดินเอง ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือขอบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ทำให้ต้องสืบหาข้อเท็จจริงจากทางธนาคาร ซึ่งพบว่าได้สั่งจ่ายเช็คเงินสดให้นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิคเป็นผู้โอนเงินเข้าบัญชีนายถาวรไปจัดซื้อที่ดินที่บริเวณเขาพนมพา ซึ่งมีแร่ทองคำในอ.วังทรายพูนจ.พิจิตร เป็นชื่อของจำเลยที่1 ถือครอง 158 ไร่ และเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 ถือครองกว่า 300 ไร่

ส่วนที่ อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ อีก 900 ไร่เศษ จดทะเบียนเป็นชื่อของจำเลยที่1 มีแร่ทองคำเช่นเดียวกัน โดยในพื้นที่ดังกล่าวได้อนุญาติให้บริษัทโซอ็อก ที่มี นางจ. ซึ่งมีความใกล้ชิดกับจำเลยที่1 เป็นกรรมการบริษัทเข้าดำเนินการอยู่เพียงบริษัทเดียว และอยู่ในกลุ่มที่จะต้องถูกดำเนินคดีด้วย

พ.ต.อ.ทวี ยังเบิกความต่อไปว่าในส่วนของจำเลยที่ 2 มีพยานยืนยันว่าไม่มีรายได้เพียงพอที่จะนำเงินส่วนตัวมาจัดซื้อที่ดิน เป็นเพียงช่างพระที่มีรายได้ไม่ถึงหลักล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าบุคคลใกล้ชิดที่เข้านอกออกในกุฎิของจำเลยที่1 มีรายชื่อเป็นผู้ถือครองที่ดินอยู่ใน 10 จังหวัดไม่ต่ำกว่า 600 ไร่คือ สีกาน. ซึ่งอยู่ในระหว่างการรวบรวมหลักฐานเช่นกัน จำเลยที่ 1 ยังมีประเด็นความขัดแย้งกับผู้ที่เคยหาทุนให้กับวัดในโครงการบัณฑิตนครซึ่งจัดสรรที่ดินขาย โดยจำเลยที่1 ที่ไม่ค่อยอยู่ติดวัดและมักจะออกไปประชุมนอกวัดในตอนกลางคืน ประกอบกับจำเลยที่1 ไม่ยอมสร้างสาธารณูปโภคตามเงื่อนไข บุคคลดังกล่าวจึงได้หนีออกจากวัดไป

ด้านทนายความฝ่ายจำเลยคือนายสนธยา โพธิแดง ได้ซักค้านในประเด็นที่พนักงานสอบสวน สอบสวนเกินกว่าที่กรมการศาสนาแจ้งความร้องทุกข์ไว้ และประเด็นที่เงินในบัญชีวัดพระธรรมกายอาจจะไม่ใช่เงินที่ได้รับบริจาคจากผู้มีจิตรศรัทธาให้วัดทั้งหมด แต่อาจจะเป็นเงินฝากของพระหรือจำเลยที่ 1 รวมอยู่ด้วย

ทนายฝ่ายจำเลยซักค้านประมาณครึ่งชั่วโมงจนเวลา 15.00น. พ.ต.อ.ทวีแถลงขอเลื่อนการเบิกความออกไปเนื่องจากติดนัดหมายสำคัญ ศาลจึงอนุญาติให้เลื่อนไปเบิกความต่อในวันที่ 16 กพ.เวลา 9.00น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธัมมชโยพร้อมด้วยนายถาวรและแกนนำศิษย์วัดพระธรรมกาย 300 กว่าคนได้เดินทางมาฟังการสืบพยานโจทย์ ระหว่างที่ พ.ต.อ.ทวีเบิกความศิษย์วัดพระธรรมกายส่งเสียงฮือและจับกลุ่มวิพากย์วิจารณ์ว่า พ.ต.อ.ทวี ต้องการยั่วยุให้พวกตนเองเกิดความไม่พอใจและจะแสดงอาการไม่เหมาะสม จึงต้องคุมอารมณ์ไว้


0 ความคิดเห็น:

กรุณาล็อกอินก่อนใช้งาน