มติชน 23/9/2543 ชี้มูล'ธัมมชโย-ทัตตชีโว' ส่อเค้า'ปาราชิก' ศาลสงฆ์รับฟ้อง3ข้อหา บิดเบือน-อุตริ-ยักยอก


    พิจารณาอธิกรณ์วัดพระธรรมกายยุติ คณะผู้พิจารณาชี้ข้อกล่าวหา'นายไชยบูลย์-นายเผด็จ'มีมูล ใช้เงินวัดซื้อที่ดิน-บิดเบือนคำสอน



เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 22 กันยายน ที่ศาลารัฐธัมมูปถัมภ์ วัดสามพระยา คณะผู้พิจารณาชั้นต้นในอธิกรณ์ วัดพระธรรมกาย ประกอบด้วยพระธรรมโมลี รักษาการแทนเจ้าคณะภาค 1 ในฐานะประธานคณะผู้พิจาร ณา พระเทพสุธี รองเจ้าคณะภาค 1 พระปริยัติวโรปการ รักษาการแทนเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้เรียก นายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญ พิเศษกรมการศาสนา มารับฟังการชี้มูลกรณีที่ยื่นข้อกล่าวหานายไชยบูลย์ สุทธิผล หรือพระราชภาวนาวิ สุทธิ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กับนายเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ หรือพระภาวนาวิริยะคุณ หรือพระทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยมีกลุ่มปกป้องพุทธศาสนาและพระสังฆราช จำนวน 30 คน และ พ.อ.ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ อดีตนายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมี ศิษย์วัดพระธรรมกายสองสามคนมาร่วมฟังด้วย โดยคณะผู้พิจารณามีมติว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดมีมูลความ จริง โดยใช้เวลาประชุมชี้แจงต่อผู้กล่าวหากว่า 1 ชั่วโมง

จากนั้นเวลา 15.20 น. นายมาณพ และนายสมพร ได้ออกมาแถลงข่าว โดยนายมาณพกล่าวว่า ในวันนี้ตน มาฟังการไต่สวนมูลฟ้องและคณะศาลผู้พิจารณาชั้นต้นซึ่งมีคำสั่งมอบเป็นหนังสือให้กับตน มีใจความสรุป ว่า ข้อกล่าวหาของตนทั้งหมดพบว่ามีมูลความจริง โดยมีรายละเอียดในคำกล่าวหาต่อไปนี้คือ 1.การซื้อขายที่ ดินของวัดพระธรรมกายใช้เงินของวัด แต่ลงชื่อเป็นของพระไชยบูลย์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ 2.กล่าวหาพระ ราชภาวนาวิสุทธิ์ และพระภาวนาวิริยะคุณ ร่วมกันเผยแพร่หลักธรรมคำสั่งสอนให้แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ ว่านิพพานเป็นอัตตา

ส่วนข้อกล่าวหาของนายสมพรนั้นมีมูลเช่นเดียวกัน ในทั้ง 3 ประเด็นคือ 1.สอนบิดเบือน ลบล้างคำสอนของ พระพุทธเจ้า 2.อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน 3.ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชน

แต่ให้ผู้กล่าวหาทั้งสองปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม(มส.) ครั้งที่ 27/2522 เมื่อวันที่ 31 พฤศจิกายน 2532 ซึ่งระบุว่า ในกรณีที่ฟ้องในเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดพระธรรมวินัยและในเรื่องละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ รวมกัน นับตั้งแต่วันประกาศใช้กฎ มส.ว่าด้วยการลงนิคหกรรมให้แยกฟ้องเป็นคนละเรื่องจึงจะรับไว้ พิจารณา ถ้าฟ้องรวมกันไม่ให้รับไว้พิจารณาให้แจ้งเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทราบ หากมีปัญหาให้กรมการ ศาสนาชี้แจงให้เจ้าคณะทราบ และหากมีปัญหาให้นำเสนอมหาเถรสมาคมเป็นกรณีๆ ไป

นายมาณพให้สัมภาษณ์ว่า ทางคณะผู้พิจารณา พิจารณาขอให้ไปแยกคำกล่าวหาออกจากกันให้ชัดเจน คือ แยกกรณีการละเมิดพระจริยาสังฆาธิการ หรือขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระ พรหมโมลี เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ที่ให้ตั้งโรงเรียนสอนพระอภิธรรม เพื่อให้เข้าใจเรื่อง นิพพานเป็นอนัตตาอย่างถ่องแท้ เมื่อไม่ทำตามจะมีโทษตั้งแต่ ถูกลดตำแหน่งถึงขั้นถอดถอนและปลดออก แล้วแต่คณะผู้พิจารณาจะเห็นถึงความหนักเบาของการกระทำดังกล่าว และกรณีความผิดตามพระธรรม วินัยประกอบด้วย อวดอุตริมนุสสธรรม มีโทษถึงขั้นต้องสึกจากความเป็นพระสงฆ์ บิดเบือนคำสั่งสอน มี โทษขั้นปาจิตตีย์ และยักยอกทรัพย์เป็นอทินนาทาน ถึงขั้นปาราชิก

"การแยกคำฟ้องนั้นคิดว่าจะดำเนินการภายใน 15 วันนับจากวันนี้ โดยจะให้นักกฎหมายเข้ามาร่วมด้วย เพื่อความรัดกุม เมื่อเอกสารแล้วเสร็จขณะนี้ ในส่วนของการละเมิดพระธรรมวินัยทางคณะผู้พิจารณารอรับ เรื่องอยู่แล้ว เมื่อเอาเรื่องให้ก็ถือว่าจบแล้ว ไม่ต้องมาพิจารณาใหม่ โดยอาจเสนอผ่านทางเจ้าคณะอำเภอ หรือทางเจ้าคณะจังหวัดก็ได้ จากนั้นเป็นหน้าที่ของคณะผู้พิจารณาที่จะนำเรื่องเข้าที่ประชุม มส.ซึ่งถือเป็น ศาลฎีกาต่อไป"

ทางด้าน น.ส.ชุลีพร ช่วงรังษี หัวหน้าประชาสัมพันธ์มูลนิธิธรรมกาย ให้สัมภาษณ์ว่า ทางวัดยังไม่ทราบผล การพิจารณาแต่อย่างใด จึงไม่สามารถตอบอะไรได้ ดังนั้นจึงขอรอผลการพิจารณาเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อน ส่วนจะประชุมกันในเรื่องนี้อย่างไรคงต้องเป็นเรื่องของพระผู้ใหญ่ในวัด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าวัด พระธรรมกายยินยอมทำตามผลการตัดสินที่เป็นไปตามกฎหมายอย่างแน่นอน


0 ความคิดเห็น:

กรุณาล็อกอินก่อนใช้งาน