พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พูดถึงเจ้าลัทธิทำมากลาย



พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พูดถึงเจ้าลัทธิทำมากลาย











ณ ที่มีกำไรมาก หรือว่าการศึกษาวิชารู้ ผมเองซะอีกไม่มีโอกาสเท่าพวกท่าน ในสมัยที่ปฏิบัติมา มีความรู้ทุกอย่างเรามีครบ แต่ขออย่างเดียวว่าให้ท่านปฏิบัติกันให้ครบเท่านั้น แต่ว่าท่านปฏิบัติไม่ครบ ก็เกินวิสัยที่ผมจะช่วยท่านให้ดีขึ้นไปได้ และองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงตรัสว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตนั้นเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้นไม่ใช่ ผู้ที่ยกให้ใครเป็นอะไรต่อเป็นอะไรได้ นี่เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกให้ทำแล้วก็ทำ ทำตามก็มีผล ถ้าท่านบอกแล้วก็ไม่มีผล ดูตัวอย่าง พระเทวทัตแล้ววันหนึ่งวันหน้าจะเอาเรื่องของพระเทวทัตมาเล่าให้ฟัง แล้วก็ดูตัวอย่างอัครสาวกทั้งสอง(พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ) อัครสาวกทั้งสองฟังนิดเดียวเป็นพระอรหันต์ อัครสาวกก็ฟังไม่ช้านานเท่าไหร่นัก ก็เป็น  ก็ได้ฌานโลกีย์ ได้อภิญญาสมาบัติ แต่อาศัยจิตที่เป็น…….ทิฐิ เลยไกลอเวจีไป 



                    เป็นอันว่าความดีหรือความชั่วไม่ได้อยู่ที่คนสอน คนสอนจะสอนดีอย่างไหนก็ตาม ถ้าเราทำชั่วเราก็ดีไม่ได้ คนสอนจะเห็นแก่ตัวสักเพียงใดก็ตามที ดูตัวอย่าง สัญชัยปริพาชก แกก็ไม่สามารถนำ อัครสาวกผู้เป็นคนดีให้ตามไปได้ ในที่สุดก็ไปอยู่กับองค์สมเด็จพระจอมไตร ได้เป็นพระอรหันต์ นี่เป็นอันว่าความดีหรือความชั่วนั้นอยู่ที่เราเอง เราฟังกันแล้วเราปฏิบัติกันหรือเปล่า นี่เป็นเครื่องคิด สำหรับการกำหนดจิตเพื่อความเป็นสมาธิเราสอนกันมาแล้วไม่ยาก รู้ลมหายใจเข้า หายใจออก รู้คำภาวนาว่า พุทโธ ไว้เป็นปกติ เท่านี้พอ พอสำหรับทรงอารมณ์ของเราให้เป็นสมาธิ วันนี้เราปฏิบัติสมาธิกัน ปฏิบัติเพื่ออะไร “เพื่อตัดกิเลส” เราสอนใจกัน สมมุติว่าเราไปพบกิเลสตัวสำคัญ กิเลสตัวนั้นได้แก่โทสะ เมื่อวันก่อนนี้ผมได้พูดถึงพราหมณ์ ซึ่งหวงลูกศิษย์ ในเมื่อลูกศิษย์ทำของหล่น พลาดไปเธอก็เปล่งวาจาถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร ว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น พราหมณ์หน้ามน เธอก็โกรธ โกรธแล้วก็ด่าว่าอีหญิงถ่อย มากล่าวพรรณนาคุณงามความดี ของสมณะโล้นไม่เลือกที่ ในที่สุดพราหมณ์คนนี้ก็ไป รุกรานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พราหมณ์คณะนี้มีกันหลายคนผมจะนำมาเล่า ให้ท่านฟังตามลำดับ ว่าองค์พระสมเด็จทรงสวัสดิโสภาคย์โต้ตอบกับเขาว่ายังไง

แต่วันนี้ผมไม่เอาเรื่องของพราหมณ์มาพูดเอาเรื่องที่ผมกระทบ มาพูดให้ท่านฟัง ที่มาพูดเนี่ยไม่ใช่มาอวด สมมุติว่าท่านโดนอย่างผมบ้าง แต่ความจริงผมโดนเอากระบุงใส่.....ใส่มันก็ไม่หมด ไอ้เรื่องอารมณ์กระทบแบบนี้ ท่าฟังไปแล้วก็คิดดูด้วย ว่าสมมุติว่า ท่านเองโดนเข้าความรู้สึกของท่านจะเป็นยังไง ผมจำเดือนไม่ได้ ผมไม่ได้บันทึก ดูเหมือนว่าจะเป็นนัยยะตอนต้นต้นปี เมื่อปี พ.ศ.2517 ปีนั้นเราก็เริ่มทำพระอุโบสถ ก็ใช่แล้วครับตอนต้นปี ตอนนั้นอากาศยังหนาวๆนิดๆ เหมือนจะเป็นเดือน กุมพา หรืออะไรมกรา ก็จำไม่ได้ อาจารย์ วรณี สุนทรเวช กับคณะของท่านมาที่วัดนี้บ่อยๆ และการมาวัดนี้ของท่าน ก็ถูกคณาจารย์เดิมโกรธ เช่นเดียวกับ สาวกของอีตาปริพาชก ตาพราหมณ์คนนั้นแหละ เป็นอันว่าเรื่องนี้ ผมก็ขอยกไว้ที่อาจารย์โกรธ ผมไม่เห็นเป็นแต่เพียงท่านเล่าให้ฟัง ไอ้เรื่องมาชนกับผมเองบ้าง คือว่าอาจารย์ วรณีนี้ถวายที่ไว้ตั้งแต่พระชุดหนึ่ง ที่คลองสาม รังสิต และเป็นเนื้อที่กี่ไร่เนี่ยผมจำไม่ได้ เนื้อที่มาก และก็กำลังจะสร้างพระอุโบสถ เอาช่างไปแล้ว วางผังขุดหลุม ที่รากฐาน กำลังจะตอกเข็ม แล้วก็มีความประสงค์จะวางศิลาฤกษ์

รูปแนบ

สำหรับวัดนี้อาจารย์ วรณี นอกจากให้ที่แล้ว ให้การก่อสร้างทั้งหมด ทำนุบำรุงวัดนั้นทั้งหมด ที่หมดไปแล้วจำไม่ได้ว่าเนื้อที่? คิดว่าจะเกินกว่าร้อยไร่ แล้วจะยังให้มาก่อสร้างแล้วก็ยังไม่พอ ยังจะให้เงินเป็นมูลนิธิสำหรับวัดนั้นอีก ประมาณ 10 ล้าน หรือ 10 เศษ จำไม่ได้ 10ล้านหน่ะ 10 ล้านแน่ แต่ว่าจะเศษเท่าไหร่ นี่ผมจำไม่ได้ ในการจะวางศิลาฤกษ์ของท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้สึกยังไง จะนิมนต์ผมไปในฐานะผู้วางศิลาฤกษ์



              และความจริงพระที่วัดนั้นก็เคยมาหาผม ท่าทำท่าเหมือนว่าจะเป็นบัณฑิต ตามที่ทราบเหมือนเป็นนิสิตเกษตร สำเร็จปริญญาจาก เกษตร เวลาท่านมาหาท่านบอกว่าท่านต้องการอภิญญา แต่ผมเองเรื่องอภิญญา สมาบัติ ใครจะมายุ่งกับผม ผมไม่เอาด้วย ผมไม่ได้เห็นชอบด้วย ผมก็คุยให้ท่านฟัง ว่าท่านต้องการอภิญญาท่านก็ปฏิบัติตามนั้น ตามแบบฉบับ ดูแบบปกติท่านทำท่านเหมือนว่าจะเลื่อมใส แต่คนอย่างผมนี่ ใครจะเลื่อมใส หรือไม่เลื่อมใส ผมก็ไม่สนใจ ถามมาผมก็บอกไป เป็นอันว่าถึงเวลาที่จะวางศิลาฤกษ์ ผมก็ไม่ทราบเหตุมาก่อน ทราบทีหลังเขาบอกว่ามีข่าวไปที่นั่น ว่าผมกับเจ้ากรมสื่อสาร ทหารอากาศ คือเวลานั้นได้แก่ พลอากาศตรีหม่อมราชวงศ์ เสริมสุข สวัสดิ เวลานี้ท่านเป็นพลอากาศโท เป็นเจ้ากรมสื่อสารทหาร จะยกกำลังไปยึดวัดเอามาเป็นวัดของตน ไม่ต้องคิด ข่าวนี้ต้องคิดทำเหมือนว่ามันทำง่ายๆ เจ้าของเขาก็มี ที่ดินเขาก็มีโฉนด พระก็มีปกครอง ผมจะย่องไปยึดวัดของเขานี่ข่าวล่วงหน้าไปก่อน ไม่ทราบว่าข่าวไปจากไหน






                  แต่เนื้อแท้จริงๆท่านเจ้าภาพนิมนต์ไปวางศิลาฤกษ์ เรื่องนี้สนุกคุณ พวกคุณฟังล่ะก็ทำกำลังใจให้ดีน่ะ ลองคิดว่าถ้าถูกเข้าแบบนั้นบ้าง คุณจะวางใจแบบไหน “นี่ไม่ใช่พราหมณ์หวงลูกศิษย์เฉยๆ เป็นพราหมณ์หวงสมบัติด้วย” เมื่อเวลาไปถึงตอนเช้า ผมก็แปลกใจที่มีนิสิตของเกษตรกลุ่มใหญ่ยืนอยู่หน้าทาง มีวิทยุติดต่อกัน ผมก็อยู่ไกลฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็เดินเข้าไปเรื่อยตามเรื่อง แต่คนที่อยู่ใกล้ๆกับนิสิตศึกษาของเกษตร เขามาเล่าให้ฟังว่าผมกับเจ้ากรมสื่อสารทหารกับคณะเดินลงไปเข้าเขต เขาก็วิทยุกันไปว่าเวลานี้พระมหาวีระมาแล้ว จะอนุญาตยอมให้เข้าหรือไม่ยอมให้เข้า แต่ความจริงผมไม่รู้เรื่องกับเขาเลย เขายอมหรือไม่ยอมก็ไม่รู้ มันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าคงได้รับคำตอบจากทางโน้นว่ายอมให้เข้า เมื่อยอมให้เข้าไปแล้ว ยอมหรือไม่ยอมก็ไม่มีใครมาห้ามผม ผมก็เดินไปตามคนเขานำ เมื่อเข้าไปถึงข้างในแล้วก็มีอาการแปลก แต่ผมมองดูเฉยๆ เหมือนกับว่าไม่มีใครเขาสนใจ เจ้าภาพเองหน่ะให้เงินตั้งสิบล้านเป็นมูลนิธิ และบริจาคที่นับราคาหลายล้าน และให้เงินอีกหลายล้านในการก่อสร้าง กำลังจะตอกเข็ม ทั้งพระและเจ้าหน้าที่ในนั้นก็ไม่ได้สนใจ ผมก็แปลก ไปเกือบจะหาที่นั่งยังไม่ได้

เวลานั้นเจ้าคุณวัดปากน้ำภาษีเจริญปัจจุบัน เจ้าคุณเจ้าอาวาสและพระที่นั่นก็มาจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ และท่านเป็นเจ้าอาวาสด้วย กำลังเป็นเจ้านักตรวจการด้วย เป็นเจ้านักตรวจการภาค 3 แต่ว่าตอนผมไปย้ายไปอยู่ภาค 15 แล้ว ท่านมานั่งสวดมนต์ อันดับแรกที่พวกเราเข้าไปกัน ก็เกือบจะหาที่นั่งไม่ได้เป็นอันดับแรก นัยยะต่อมา ท่านเจ้าคุณท่านก็บอก นิมนต์ท่านมหานี่มานั่งที่นี่สิขอรับ มาสวดมนต์ด้วยกัน ท่านก็ขยับที่ให้ในฐานะที่ผมอาวุโสกว่าท่าน ผมก็เลยเรียนท่านว่าเขาไม่ได้นิมนต์ผมมาสวดมนต์ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมก็นั่งตามที่ที่เขาจัดให้

ต่อจากนั้นไปเรื่องมันก็เกิดโอล่ะพ่อกันขึ้น เป็นอันว่าพระที่ ที่เจ้าภาพยกที่ให้ ตั้งท่าพิเศษ บอกว่าขอให้มาทำเงื่อนไขกันก่อน อันดับแรกเขาเชิญพวกเดียวกันมาประชุม ต่อหน้าเจ้าคุณ แล้วเธอเชิญท่านเจ้าภาพท่านเจ้าของที่ผู้ให้เงินในการก่อสร้างนับล้านแล้วก็จะให้เงินเป็นมูลนิธิอีกสิบล้าน หรืออาจารย์วรณี สุนทรเวช เข้าไปประชุมกันต่อหน้าแขกทั้งหมด อันดับแรกเธอยื่นเงื่อนไขว่า“ขอให้พระองค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาส”วัดนี้ พูดกับท่านเจ้าคุณใหญ่ หรือ อาจารย์วรณี สุนทรเวช ผมก็แปลกใจว่า เอ๊ะ สำนักนี้เขาสอนกรรมฐานกัน ทำไมอยากเป็นเจ้าอาวาส เป็นหรือไม่เป็นมันก็เป็นอยู่แล้ว อาจารย์วรณี สุนทรเวช ก็บอกว่าไม่เป็นไรถ้าท่านอยากเป็นเจ้าอาวาส ก็แล้วแต่เจ้าคุณใหญ่ มีองค์หนึ่งบอกว่าถ้าตกลงแล้วก็ต้องให้อาตมา เป็นรองเจ้าอาวาส มียื่นเงื่อนไขกันแปลกๆ ความจริงอาการย่างนี้ พระในพระพุทธศาสนา“เขาไม่ทำกัน” ผมก็นั่งดู     อาจารย์ วรณี สุนทรเวช ท่านก็ไม่คัดค้าน ก็ตามใจ วัดนี้ฉันถวายพระพุทธศาสนา ก็สุดแล้วแต่ท่านเจาคุณใหญ่

ถ้าหากว่าผมฟังไม่ผิดน่ะ ผมนั่งไกลแล้วต่อไปก็มีการวางเงื่อนไขอีก ว่าการวางศิลาฤกษ์วันนี้ต้องไม่ใช่ มหาวีระวาง ขอให้ท่านเจ้าคุณใหญ่วางศิลาฤกษ์ ตอนนี้รู้สึกว่าคณะของท่านเจ้าภาพจะรู้สึกไม่ดี ผมบอกไปว่าการวางศิลาฤกษ์ไม่สำคัญ มาวันนี้ท่านเจ้าภาพนิมนต์มา แต่ว่าไม่ให้วางก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่อยากวาง ไอ้วางศิลาฤกษ์ก็เอาหินไปวางๆผมไม่เห็นมันมีอะไร แต่ว่าขณะนั้นคนที่ฟังๆเขารู้สึกว่า เขาสงสารผมแต่ผมไม่เคยสงสารตัวผมเองเลย เพราะว่าไอเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ผมโดนมาหนัก มันหนักกว่านั้น แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ท่านเจริญพระกรรมฐานกันยังไง ทำไมถึงแบกกิเลสต้องการลาภต้องการยศกัน

นี่ผมนั่งปลงธรรมสงเวชของผมคนเดียว แต่ว่าคนอื่นนั้นหน่ะเขาสงสารผม เขาคงจะสงสารผมในฐานะที่ถูกนิมนต์ไปให้วางศิลาฤกษ์ แต่ว่าทางวัดนั้นไม่ต้องการให้ผมวางศิลาฤกษ์ คนอื่นเขาสงสารผม ผมกลับไปสงสารพระที่วัดนั้นและท่านเจ้าคุณวัด เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่าท่านในฐานะเป็นผู้ใหญ่ท่านคงจะอายมาก แล้วผมก็ไปสงสารเจ้าภาพ ว่าเจ้าภาพทุ่มเทเนื้อที่ไป ผมเข้าใจว่าถึงร้อยไร่เลยครับ ผมจำไม่ได้เนื้อที่มากจริงๆ และทุ่มเทเงินก่อสร้างไปเป็นล้านแล้วนั้น แต่ทว่าพระที่ให้ไปอยู่ที่นั่น กลับเป็นฝ่ายยื่นว่าจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ พอท่านบอกว่าถ้าวัดนี้ต้องยอมให้องค์นี้เป็นเจ้าอาวาส และต้องยอมองค์นั้นเป็นรองเจ้าอาวาส นี่ผมอายชาวบ้านเขาเกือบตาย เพราะว่าชาวบ้านที่เขานั่งกันอยู่ที่นั่นนับร้อย ผมรู้สึกอายจริงๆขอรับ ไม่ได้อายชาวบ้านเขาในฐานะที่ไม่ได้วางศิลาฤกษ์ อันนี้ไม่เกี่ยวผมไม่มีความรู้สึก อายเขาไม่คิดเลยว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างนั้น และก็อายแทนท่านเจ้าคุณใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ลูกศิษย์ของท่านสามารถยื่นเงื่อนไขกับท่านแบบนั้น  แล้วอายแทนท่านเจ้าภาพผู้บริจาคทรัพย์ ว่าท่านบริจาคทรัพย์เนื้อที่มากราคานับล้านแล้ก็บริจาคทรัพย์ในการก่อสร้างไปแล้วนับล้าน

กำลังจะสร้างพระอุโบสถอีกราคานับล้าน นายช่างก็วางผังแล้ว กำลังจะตอกเข็ม มาเกิดยุ่งกันตอนนี้แม้แต่ข้าวเราก็เกือบจะไม่มีกินกัน นี่สมมุติว่าเป็นกำลังใจของท่านไปโดนเข้าแบบนี้ ท่านนึกโกรธใครสักคนไม๊ เนี่ยเอาเรื่องจริงๆน่ะมาพูด ท่านทั้งหลายที่กำลังศึกษาอยู่เวลานี้ก็เหมือนกันต้องเตรียมตัวเตรียมใจในอาการอย่างนี้ไว้ด้วย และการถูกเชิญไปในที่ต่างๆนั้นต้องระมัดระวังไว้ ว่าดีไม่ดีงานที่เขามอบหมายให้เราหน่ะ มันอาจจะกลายเป็นประเภทขม แต่ผมโดนมาซะเยอะ โดนมาจนหนังชา ชาจนถึงที่สุด จนเวลานี้ไม่ชาแล้วมันหมดความรู้สึก เมื่ออาการอย่างนี้ปรากฏผมก็สงสาร แทนที่ผมจะอาย แต่ผมไม่อายใครเลย ท่านรู้สึกไม๊ว่าหน้าด้านมาก ใจของผมเวลานั้นมันสบายๆไม่มีความรู้สึกอะไร แล้วกลับไปสงสารคนอื่น คนอื่นเขาสงสารผม คงจะสงสารในฐานะว่าเสียหน้า ที่เขาไม่ยอมให้วางศิลาฤกษ์

แต่ท่านเจ้าภาพก็พยายาม ในขั้นสุดท้ายก็ให้มาเอา พรมน้ำมนต์ โปรยข้าวตอกดอกไม้ ผมสงสารท่านเจ้าภาพ แล้วก็ไปสงสารพระชุดนั้น สงสารเจ้าคุณใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ มามองดูหน้าท่านแล้วรู้สึกว่าท่านสลดมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านคาดไม่ถึง ว่าลูกศิษย์ของท่านจะทำอย่างนั้น ผมคิดว่าอย่างนั้นน่ะ แต่ว่าท่านจะมีความรู้สึกอย่างผมหรือไม่นี่ ผมไม่ทราบ นี่ผมคิดเอาเอง และผลงานต่อไป ที่เกิดขึ้นกับพระประเภทนั้น นั่นก็คือเจ้าภาพจะทำการสร้างโบสถ์ราคาเป็นล้าน ช่างก็ไปแล้ว เข็ม เขิม ไปแล้วเสร็จ “งานสร้างโบสถ์หลังนั้นถูกงด” คือไม่มีการสร้างต่อไป เจ้าภาพท่านตัดสินใจว่าส่วนใดเสียแล้วเสียไป แต่ของใหม่ไม่ให้ ก็คือบอกเลิกการก่อสร้างพระอุโบสถกับช่าง

ทีนี้กาลต่อมาทราบว่าเงินมูลนิธิสิบล้านที่ท่านจะให้ ท่านก็ถอนใจไม่ให้เสียเลย เอาเงินจำนวนนี้ไปสร้างถาวรวัตถุใหม่ที่อื่น คือเป็นศาลาการเปรียญที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ กับวัดอะไรอีกวัดนึงที่ท่านเจ้าคุณ วิเชียร ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นอันว่าพระคณะนั้น ที่มีความมุ่งมาดอยากจะได้ทรัพย์สินประมาณสิบล้านบาทเป็นมูลนิธิ ก็ไม่ได้ แต่ก่อนที่ไม่ได้นั่นน่ะ มันมีอย่างนี้อีก คือท่านเจ้าภาพมาบอกให้ผมฟัง บอกว่าพระวัดนั้นนั่นแหละที่เป็นวัดของท่านสร้างให้ เมื่อท่านถอน เรียกว่าในระยะแรกเป็นการตกลงว่าใครต้องเป็นเจ้าอาวาสกันมาแล้ว หลังจากนั้นงานเสร็จผ่านไป ก็จะมาขออนุญาตเป็นเงินที่เขาฝากไว้ที่ธนาคารใดธนาคารหนึ่ง “แกขอย้ายจากธนาคารนี้ไปธนาคารโน้น” อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมจะต้องการแบบนั้น มาทราบจากเจ้าหน้าที่ธนาคารคนหนึ่ง บอกว่าถ้าย้ายเงินจากธนาคารนี้ไปธนาคารโน้นมันได้อะไร ค่าคอมมิสชัน ค่ารางวัลอะไรก็ไม่ทราบ “มันได้เงินเป็นกรณีพิเศษ” ก็อย่างนั้น

ผมก็ไม่รู้เป็นอันว่า “เงินสิบล้านท่านเจ้าภาพท่านก็ไม่ให้ ในการก่อสร้างต่อไปท่านเจ้าภาพท่านก็ไม่สร้าง และเจ้าภาพก็ตัดญาติขาดมิตรกับพระคณะนั้นทั้งหมด” ส่วนที่เสียไปแล้วกี่ล้านบอกให้ผ่านไป แต่เรื่องใหม่ไม่มี เอเรื่องอย่างนี้ นี่เราพูดกันถึงเรื่องของโทสะ ผมคิดว่าถ้าท่านทั้งหลายไปโดนเข้าแบบผม ดีไม่ดีท่านจะมานึกคิดว่า นี่เขานิมนต์เรามาในงานวางศิลาฤกษ์ ถ้าเราไม่มาเราก็จะอาย แล้วก็จะเสียกำลังใจ ดีไม่ดีเราจะไปโกรธเขา ถ้างานอย่างนั้นปรากฏล่ะก็ทำใจซะให้สบาย และก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ว่าอาการอย่างที่ผมพูดมานี่ แล้วก็อีกแบบอีกหลายอย่าง ท่านทั้งหลายที่ต้องมีชีวิต ที่ต้องผ่านไปอีกมากจะต้องประสบพบเห็น และอาจจะได้กับตัวเองของท่าน ถ้าอาการอย่างนั้นมันปรากฏ ใครเขามานิมนต์ไปก็ดี เชิญไปในกิจการงานหนึ่งงานใดก็ดี ขอให้ไปตามหน้าที่ของพระ ทำใจให้สบายๆคิดว่างานนี้เขาให้เราทำเราก็ทำ ถ้าไปแล้วเขาไม่ให้เราทำเราก็ไม่ทำ อย่าทำกำลังใจให้มันเสีย อย่าไปโกรธคนนั้น หรือคิดว่าคนนี้

ถ้าไปโดนอาการอย่างนั้นขึ้น ก็อย่าไปคิดว่าเขาหักหน้าเรา ความจริงหน้าเราใครหักไม่ได้ หักไม่ลงหรอกเพราะมันแข็ง มีกระดูก เราก็ควรจะปรารภพระธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง คนก็ไม่เที่ยง วัตถุก็ไม่เที่ยง อารมณ์ก็ไม่เที่ยง ถ้าอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นกับเรา เราก็ควรจะสังเวชใจ สงสารเขา ว่าเขาผู้นั้นไม่น่าจะเสียสัจจะ เขาเหล่านั้นไม่น่าจะทิ้งกิริยาของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา การอยากเป็นเจ้าอาวาสการอยากเป็นรองเจ้าอาวาส นี่มันเป็นความโลภในยศ มันไม่ใช่ของดี แล้วอีกประการหนึ่งการไปยืนหยัดบังคับให้ไปสร้างพระอุโบสถ เป็นไปไม่ได้ เป็นการทำลายทรัพย์สินของพระพุทธเจ้า ทำลายศรัทธา แล้วคุณจะสงสารเขาว่าเขาทำตัวผิด ไม่ใช่สงสารเรา แล้วก็ควรสงสารท่านเจ้าของทรัพย์ว่า พระถมเถไป กรรมอะไรของท่านหนอที่ไปเจอเอาพระจังไร แบบนี้เข้า นี่เป็นว่าทำให้ใจของท่านเศร้าหมอง และต่อมาผมก็พยายาม ประเล้าประโลมให้ใจท่านสบาย และคุณจะสงสารท่านผู้ใหญ่ ท่านผู้ปกครอง ที่ลูกศิษย์ของท่านหักหน้าท่าน ไม่ใช่หักหน้าเรา ทำเอาท่านเสียกำลังใจจนเห็นชัด

นี่แหละบรรดา ท่านพุทธบริษัทและพระโยคาวจรทั้งหลาย ตอนนี้องค์สมเด็จพระจอมไตร เล่าเรื่องความโกรธผมเลยเอาเรื่องของความโกรธมาพูด ว่าพระพุทธเจ้าท่านถูกพราหมณ์ว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่โกรธ และความจริงผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า วันนั้นไม่ทราบว่ากำลังใจมาจากไหน มันยังไง มันเฉยๆ ปกติ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย เมื่อเขาค้านผมก็ดีใจบอกไม่ต้องทำงาน และอีตอนเขาไปยื้อแย่งตำแหน่งเจ้าอาวาสกับรองเจ้าอาวาสกันนี่สิ ผมอายแทนเหลือเกิน ในฐานะที่เป็นพระเหมือนกัน และก็สงสารเจ้าภาพว่าท่านลงทุนขนาดนั้น ยังมีคนรักท่าน มีคนทำลายท่าน สงสารเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาสด้วยเป็น พระราชาคณะด้วย เป็นเจ้านักตรวจการภาคด้วย แต่ลูกศิษย์ของท่านไปทำอย่างนั้น น่าสงสารมาก และต่อจากที่ไปขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงพยายามรักษากำลังใจ เตรียมตัวเตรียมใจไว้อย่างนี้ ว่าถูกใครเขาขัดคอขัดใจ ที่ไม่ประกอบไปด้วยเหตุผล อย่าทำกำลังใจให้มันขึ้นๆลงๆ วางใจเป็นอุเบกขา นี่เรียกว่า สังขารนุเบกขาญาน จิตใจของท่านจะมีความสุข เพราะถ้าเราโกรธใจมันทุกข์ มันเร่าร้อน ถ้าเราไม่โกรธใจสบาย

เวลานี้มองดูเวลาก็เลยมาแล้ว ต่อนี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น พยายามรักษากำลังสมาธิ และวิปัสนาญาน ตามเวลาที่ท่านเห็นสมควร สวัสดี

0 ความคิดเห็น:

กรุณาล็อกอินก่อนใช้งาน